กาลครั้งหนึ่ง....ไม่นานมานี้.....แป้งทอดมีโอกาสไปเข้าร่วมสัมมนาที่ตึกลูกเต๋า หรือองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
(อพวช.) ที่เทคโนธานีคลอง 5 จังหวัดปทุมธานี
ซึ่งพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่คลอง 5
นี้ นับเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งเดียวในโลกที่....
“ไม่มีระบบขนส่งมวลชนเข้าถึง”…..(นี่เป็นคำพูดของผู้บริหารท่านหนึ่งของ
อพวช. ที่กล่าวเปิดงานสัมมนานะคะ )
สำหรับหัวข้องานสัมมนาในครั้งนี้ ก็คือ
เทคนิคการสื่อสารวิทยาศาสตร์ และผู้ที่ให้เกียรติมาเป็นวิทยากรให้กับ อพวช.
ก็คือ Pro. Mark Brake ศาสตราจารย์อาวุโส ด้านการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ จาก University
of Glamorgan สหราชอาณาจักร และ Dr.
Toby Murcott นักเคมีวิทยา จากสหราชอาณาจักร
ที่ผันตัวเองมาเป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์
ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ “ I
can talk better than doing it” หรือก็คือ “ผมว่า ผมสามารถพูดได้ดีกว่าที่ผมทำน่ะ”
ซึ่งก็คงเป็นเรื่องจริง เพราะในระหว่างการสัมมนา Dr. Murcott ได้เรียกเสียงหัวเราะจากผู้เข้าร่วมสัมมนาหลายต่อหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ฟังจะรู้สึกสนุกสนานกับการบรรยาย
แต่ก็ได้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ การสื่อสารวิทยาศาสตร์ จากทั้งสองท่านเป็นอย่างมาก
การสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่จริงแล้ว คือ
การประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อ
เสนอแนะแนวความคิดทางด้านวิทยาศาสตร์หรือเพื่อสื่อถึง กระบวนการคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ให้ประชาชนเข้าใจ
และเกิดความตระหนักถึงความสำคัญทางด้านนี้ทำให้เกิดกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์
และนำกระบวนการคิดนี้ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งการสื่อสารวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีเนื้อหา
(content ) ที่ ชัดเจน
และ มีจุดประสงค์หลัก ในสื่อสารว่า
ต้องการจะบอก สอน หรือเสนอแนะ
เรื่องอะไร และจะใช้สื่อ (media) รูปแบบใดในการสื่อสาร ซึ่งในส่วนของ Pro. Brake นั้น ท่านสนใจการใช้นิยายวิทยาศาสตร์ (Sci
–Fiction) ในการสื่อสารวิทยาศาสตร์
เนื่องจากนิยายวิทยาศาสตร์สามารถสื่อสารเรื่องราวและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ให้คนธรรมดาเข้าใจได้ง่ายขึ้น
และนิยายเหล่านั้น สามารถสะท้อนความรู้สึก ความเปลี่ยนแปลง
ความนึกคิดของสังคมในยุคนั้น ๆ ได้ อย่าง เช่น เรื่องแฟรงเก้นสไตน์
สะท้อนถึงสังคมในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ประเด็นที่นำเสนอผ่านนิยายวิทยาศาส
ต ร์ จะมีอยู่ 4 ประเด็น คือ
· space
· time
· machine
· monster (ในความหมายของ Pro. Brake จะหมายถึง
monster within us หรือด้านเลวร้ายที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเราทุกคน)
นอกจากนี้ Pro. Brake ยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของเรื่องราว
ที่ถูกเขียนขึ้นในนิยายวิทยาศาสตร์กับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
Pro. Brake บรรยายว่า
เรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นในนิยายวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อดีต มักกลายเป็นเรื่องจริงในปัจจุบัน เพราะพื้นฐานข้อมูลใน การเขียนมา
จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
เพียงแต่เพิ่มเติมจินตนาการ
ความคิด ความฝัน
และความคาดหวังของนักเขียนเข้าไป
ประเด็นของนิยายวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การสอน แต่เป็นการอธิบาย
และชี้ให้เห็นถึงผลกระทบทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ๆ
และการอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ก็สามารถทำให้ผู้คนในยุคนั้นๆ
เข้าใจถึงพัฒนาการและวิวัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ที่มีบทบาทและผลกระทบต่อชีวิตของตนได้ง่ายขึ้น
ในส่วนของ Dr. Murcott เนื่องจากปัจจุบันท่านเป็นนักจัดรายการ
ด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์ให้กับทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กระจายเสียง BBC ของสหราชอาณาจักร
ท่านจึงเน้นไปที่ประเด็น ด้านการรายงาน ข่าววิทยาศาสตร์ว่า
โดยทั่วไปการรายงานข่าวสารทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น
มักไม่เสนอข่าวในรายละเอียดทั้งหมด เพื่อให้ตัวข่าวมีความน่าตื่นเต้น
ทำให้ข่าวขายได้ เพราะเป็นที่สนใจของผู้คน แต่อย่างไรก็ตาม
การนำเสนอข่าวสารทางวิทยาศาสตร์ที่ดีก็จะต้องนำเสนอข้อมูลให้ครบทั้งสองด้าน
โดยเฉพาะถ้าข่าวนั้นจะทำให้เกิดความสับสนหรือตื่นตระหนกแก่ผู้คน
เพราะโดยทั่วไปแล้วข่าวหรือการรายงานผลทางวิทยาศาสตร์นั้นมักจะมีความขัดแย้งกันเองเสมอ
ผู้นำเสนอข่าวจำเป็นต้องเข้าใจและตระหนักในความจริงที่ว่า แท้จริงแล้ว
วิทยาศาสตร์นั้นก็ไม่สามารถฟันธงไปได้ว่า อะไรจริงหรือไม่จริง อะไรมีหรือไม่มี
อะไรเป็นไปได้หรือไม่ได วิทยาศาสตร์ทำหน้าที่เพียง
แค่พิสูจน์สมมติฐานว่า สิ่งต่างๆ มีแนวโน้มว่่า เป็นไปได้หรือไม่
ดังนั้นการรายงานข่าวสารทางวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องสร้่างความสมดุล (balance
in media) โดยสื่อสารข้อมูลทั้งสองด้าน
โดยเฉพาะเรื่องที่มีความขัดแย้งกันในหมูู่่นักวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้ผู้สื่อสารต้องเข้าใจว่า
การทำวิจัยหรือ ทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น ไม่มีจุดจบ
เพราะเมื่อพบคำตอบในเรื่องหนึ่งแล้วมันก็จะนำพาไปสู่คำถามในเรื่องอื่นอีกไม่มีวันสิ้นสุด
ดั้งนั้นการรายงานหรือนำเสนอข่าวสารทางด้านวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ และรายงานด้วยความเข้าใจ
อีกทั้งยังต้องทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า
นักวิทยาศาสตร์เป็นคนธรรมดา และกิจกรรม ทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นกิจกรรมทั่วๆ
ไป เหมือนกิจกรรมอื่นๆ ที่ผู้คนในแต่ละสาขาอาชีพทำกัน การสร้างแนวคิดเช่นนี้
จะช่วยให้การสื่อสารหรือ นำเสนอข่าวสาร ด้านวิทยาศาสตร์ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากช่องว่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับคนธรรมดาหายไปแล้วนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น